หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เรื่องน่ารู้เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย

เรื่องน่ารู้เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย
    วันที่ 14 สิงหาคม 2557 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยตาปี จะเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ. เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เพื่อการศึกษาดูงานครั้งนี้จะได้มีความเข้าใจถึงวัฒนธรรม เมืองปีนัง ดินแดนไข่มุกแห่งตะวันออก เมืองที่เป็นเกาะเล็กๆ แต่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรมมากขึ้น 

เพื่อขานรับกับนโยบายเปิดประตูสู่อาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 นี้  จึงขอแนะนำสิ่งที่น่าสนใจในปีนัง


รถไฟรางที่นำขึ้นสู่ยอดปีนังฮิลล์
พูดถึงความเก่านั้น ก็ใช่แต่จะหมายถึงด้านไม่ดีเสมอไป ของบางอย่างที่เป็นของเก่า ก็มีคุณค่าแบบที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ หรือแม้แต่เมืองเก่าๆ ก็มีมนต์เสน่ห์ที่ทำให้หลายคนอยากเข้าไปสัมผัส อย่างเช่น “ปีนัง” หรือ รัฐปีนัง ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย

นอกจากจะชอบเที่ยวในเมืองใหญ่ หรือออกไปตามป่าเขาลำเนาไพรแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ก็ชอบเที่ยวเมืองเก่าด้วยเหมือนกัน เมื่อมีโอกาสดีมาถึงให้ได้ไปเยี่ยมเยือนปีนัง ก็ย่อมต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน
ก่อนจะตะลอนเที่ยวกันในเมืองปีนัง เรามาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของปีนังกันเสียหน่อย 

เจดีย์เจ็ดชั้น
“ปีนัง” นั้นเป็นหนึ่งในสิบสามรัฐของมาเลเซีย ในภาษามาเลย์จะเรียกว่า “ปูเลาปีนัง” (Pulau Penang) ซึ่งมาจากคำว่า “ปีนัง” ที่แปลว่า “ต้นหมาก” โดยในสมัยก่อนนั้นบนเกาะปีนังจะพบต้นหมากขึ้นอยู่มากมายนั่นเอง และหากพูดถึงรัฐปีนัง จะหมายรวมถึงพื้นที่บนเกาะปีนัง และ เซเบอรังเปอไร (Seberang Parai) บนแผ่นดินใหญ่
เกาะปีนังถูกค้นพบโดย กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Captain Fransis Light) ชาวอังกฤษ ต่อมาในปี ค.ศ.1786 กัปตันไลท์ก็ได้รับมอบเกาะปีนังจากสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ ในนามของบริษัทอีสต์ อินเดีย คอมพานี ด้วยการทำสัญญาว่าจะปกป้องแผ่นดินนี้จากสยามประเทศ ซึ่งเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเกาะเสียใหม่ว่า “Prince of Wales Island” เนื่องด้วยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเกิดของเจ้าชายแห่งเวลส์
ต่อมาไม่นาน กัปตันไลท์ก็ได้ตั้ง “จอร์จทาวน์” (George Town) ขึ้นมา เพื่อให้เป็นเมืองท่าปลอดภาษี ซึ่งก็มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้จอร์จทาวน์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีการเปิดสอนภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนในสมัยนั้นคนไทยที่พอมีฐานะนิยมจะส่งลูกหลานไปเรียนที่ปีนังเพื่อให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ

เจ้าแม่กวนอิม ที่วัดเค็กลกซี

ปัจจุบัน ปีนังถูกกล่าวขานว่าเป็นไข่มุกแห่งตะวันออก เนื่องจากมีบ้านเมืองที่สวยงามและโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะบนเกาะปีนังที่เราจะมาเที่ยวตะลอนกันในคราวนี้ และถ้าอยากจะเห็นว่าบ้านเมืองโดยรวมของเกาะปีนังเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็ต้องขึ้นมาที่ “ปีนังฮิลล์” (Penang Hill / Bukit Bendara) เนื่องจากเป็นจุดที่สูงที่สุดบนเกาะปีนัง
การจะขึ้นไปสู่ยอดเขาปีนังฮิลล์ที่มีความสูงประมาณ 830 เมตรจากระดับน้ำทะเลนั้น จะต้องใช้บริการรถไฟรางเพื่อไต่ระดับขึ้นไป ระหว่างที่รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านสวนป่าที่มีต้นไม้ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ดูแล้วสดชื่นสบายตาจากความเขียวชอุ่ม
ทิวทัศน์รอบๆ ปีนัง
พอขึ้นไปถึงด้านบนสุดก็จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย พร้อมกับชมทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะเห็นทั้งจอร์จทาวน์ ที่ในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของรัฐปีนัง ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วก็ต้องใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆ มากสักหน่อย แล้วค่อยลงมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ กันบ้าง
ด้วยเหตุที่มาเลเซียมีประชากรหลากหลายเชื้อชาติมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน จึงทำให้วิถีชีวิต อาหารการกิน บ้านเรือน และบรรยากาศในเมืองนั้นเต็มไปด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในปีนังนี่เอง
อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1
เริ่มแรกนั้น ลองไปสัมผัสวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกันก่อนที่ “วัดเค็กลกซี” (Kek Lok Si Temple) หรือ วัดเขาเต่า หากใครจะขึ้นมาให้ถึงที่วัดนี้ ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางขึ้นมายังวัดนั้นเป็นบันไดเดินขึ้นเนินเขาเรื่อยๆ ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก แต่ก็พอให้รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มซึม และระหว่างทางเดินขึ้นก็จะผ่านร้านค้า ร้านขายของฝากที่กวักมือเรียกให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายเข้าไปเยี่ยมชม
ผ่านจากบรรดาร้านค้ามาได้ ก็จะมาถึงบ่อเต่าขนาดใหญ่ ที่มีเต่าตัวใหญ่นอนกองรวมกันอยู่ ด้านนอกบ่อก็จะมีคนขายผักบุ้งร้องเรียกให้ซื้อเพื่อทำบุญให้เต่าตาดำๆ มีทั้งภาษามาเลย์ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ แถมยังมีซับไตเติ้ลภาษาไทย สำหรับนักท่องเที่ยวหน้าตาไทยแท้ๆ อย่างเราอีกด้วย ใครที่ใจบุญสงสารพี่เต่า หรือทนเสียงเรียกร้องของพ่อค้าไม่ไหวก็แวะให้อาหารเต่ากันเสียหน่อย แล้วค่อยออกเดินต่อไปยังวัด  หากจะซื้อของฝากด้านบนก่อนที่จะถึงบ่อเต่าราคาค่อยข้างถูกโดยเฉพาะพวงกุญแจ
อาคารทาวน์ฮอลล์
มาถึงทางเข้าวัดแล้วก็จะผ่านร้านขายของฝากของทางวัด ที่มีทั้งเครื่องรางของขลัง และของฝากมากมาย จากนั้นก็เป็นบันไดทางขึ้นไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะถึงตัววัดเสียที
มองเข้าไปในวัดแล้วจะได้กลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบจีนอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะมีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาท่องเที่ยวที่วัดแห่งนี้ แต่คนส่วนใหญ่ก็มาด้วยใจศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งคนที่มาที่นี่ นิยมมาไหว้พระและเทพเจ้าองค์ต่างๆ
เริ่มจากจุดที่น่าสนใจมากอีกจุดหนึ่งภายในวัดแห่งนี้ ก็คือ เจดีย์เจ็ดชั้น ที่มีความงดงามจากการผสมผสานศิลปะจาก 3 ชาติ คือ ฐานเจดีย์เป็นแบบจีน ตัวเจดีย์เป็นแบบไทย และยอดเจดีย์เป็นแบบพม่า โดยจะมีการตกแต่งด้วยพระพุทธรูปสำริดและพระพุทธรูปศิลาขาวทั้งหมด 10,000 องค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีระหว่างนิกายมหายานและเถรวาท
หลังจากชมเจดีย์ที่งดงามแล้ว ก็ตรงเข้าไปไหว้พระและเทพเจ้าองค์ต่างๆ ที่ด้านใน ซึ่งก็ต้องขึ้นบันไดไปอีกเล็กน้อย จากนั้นก็มาถึงไฮไลต์สำคัญของวัดเค้กลกซี ก็คือ องค์เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ด้านบนสุดของวัด โดยจะต้องขึ้นรถรางต่อขึ้นไปอีก
ป้อมคอร์นเวลลิส

สำหรับองค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นรูปหล่อสำริด ที่มีความสูงราว 30 เมตร ตั้งตระหง่านงดงามอยู่ที่ด้านบนสุดของวัด ซึ่งบริเวณรอบๆ นั้นก็มีการตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างงดงาม สามารถชมทัศนียภาพ รอบๆ เกาะปีนังได้สะดวก และข้างๆ กันนั้นก็มีศาลาประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลักให้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย
ผู้คนที่ทยอยกันเข้ามายังวัดแห่งนี้ มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวมาเลเซียที่อุ้มลูกจูงหลานเข้ามา เรียกได้ว่าวัดเค็กลกซี เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของปีนัง และยังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะวัดที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หากมาเยือนปีนังแล้วก็ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

บรรยากาศในย่านลิตเติ้ลอินเดีย

ด้ไหว้พระทำบุญกันแล้ว ก็มาลองสัมผัสกับเมืองเก่าทรงเสน่ห์ ที่ยังเป็นจุดดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกันดูบ้าง ที่นี่คือ “จอร์จทาวน์” (George Town) เมืองหลวงของรัฐปีนัง และยังได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกพร้อมกับมะละกา ในปี ค.ศ.2008 จากสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน
การท่องเที่ยวภายในจอร์จทาวน์ต้องใช้เวลาในการซึมซับบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว “ตะลอนเที่ยว” จึงเลือกวิธีการเดินเท้า เดินชมตึกรามบ้านช่องตามรายทางไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ชื่นชมกับบ้านช่องที่มีร่องรอยของอดีตอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในย่านจอร์จทาวน์อีกด้วย
ขนมแบบอินเดียก็มีขาย

เริ่มต้นการเดินกันที่บริเวณ “เอสพลานาร์ด” ลานโล่งๆ ริมทะเลที่จัดตกแต่งเป็นสัดส่วนสบายตา โดยบริเวณนั้นจะมี “อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1” (The Cenotaph) อยู่ด้านข้าง ส่วนใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นอาคารเก่าที่เคยใช้เป็น “ทาวน์ฮอลล์” (Town Hall) และ “ซิตี้ฮอลล์” (City Hall) โดยอาคารซิตี้ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีขาวสไตล์โคโลเนียล โดดเด่นด้วยเสาแบบกรีกและหน้าต่างบานใหญ่ ส่วนทาวน์ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีเหลืองอ่อนสลับขาว สถาปัตยกรรม British Empire
เดินข้ามมาอีกฝากหนึ่งก็จะเห็นปืนกระบอกใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลังกำแพงสูง ซึ่งบริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า “ป้อมคอร์นเวลลิส” (Fort Cornwallis) ที่หากเข้าไปเดินชมภายในแล้วก็จะสามารถมองเห็นโครงสร้างเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โบสถ์ คลังเก็บดินปืน ประภาคาร และยังมีปืนเก่าชื่อ “เสรีรัมใบ” ซึ่งเป็นปืนใหญ่ของฮอลันดาที่มอบให้เป็นของกำนัลแก่สุลต่านยะโฮร์ แต่ถูกโปรตุเกสชิงไปแล้วส่งต่อไปยังชวา สุดท้ายอังกฤษก็นำกลับมาไว้ที่นี่
มัสยิดกาปิตัน เคลิง
ได้รับบรรยากาศแบบตะวันตกกันไปบ้างแล้ว ก็ขอเดินต่อมาเรื่อยๆ ยังบริเวณที่มีกลิ่นอายแบบตะวันออกบ้าง แบบนี้ก็ต้องมาที่ “ลิตเติ้ลอินเดีย” (Little India) ชุมชนของชาวอินเดียที่มีทั้งโบสถ์ฮินดูเก่าแก่ บ้านเรือนที่ตกแต่งในสไตล์อินเดีย มีร้านขายอาหารของคาวของหวานแบบอินเดีย หรือจะดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสืออินเดีย ที่มีก็มีครบทุกสิ่ง แถมยังเห็นสาวอินเดียห่มส่าหรีสีสันสวยสดเดินผ่านไปผ่านมา ได้อารมณ์เดินในเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย มากกว่าจะอยู่ที่ปีนังเสียอีก
แต่ถึงจะเป็นชุมชนอินเดีย บริเวณใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมี “วัดเจ้าแม่กวนอิม” ที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี้ยนและชาวจีนกวางตุ้งกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากบนเกาะปีนัง น่าเสียดายว่าตอนที่เราไปถึงภายในวัดกำลังทำการปรับปรุงอยู่ จึงสามารถชมความงดงามของวัดได้แค่เพียงภายนอกเท่านั้น
และถ้าเดินตรงตามถนนไปเรื่อยๆ ก็จะมาถึง “มัสยิดกาปิตัน เคลิง” (Kapitan Keling Mosque) ที่มองจากด้านนอกก็จะเห็นอาคารของมัสยิดเป็นสีขาวสะอาดตา ประดับด้วยโดมและหอคอยแบบโมกุลสีเหลือง ริมกำแพงด้านหนึ่งมีหอคอยสูง และล้อมรอบมัสยิดด้วยกำแพงรั้วเตี้ยๆ
บ้านเรือนในย่านคนจีน
เดินตรงจากมัสยิดมาอีก ก็คล้ายว่าเดินก้าวเข้ามาในอีกโลกหนึ่งทันที บริเวณนี้จะมีบรรยากาศเป็นชุมชนชาวจีน มีวัด ศาลเจ้า และสถาปัตยกรรมแบบจีนเรียงรายอยู่สองข้างทาง มีร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มีร้านจักรยานให้นักท่องเที่ยวเช่าเพื่อขี่ชมรอบๆ จอร์จทาวน์ และยังมีพิพิธภัณฑ์เอกชนเล็กๆ ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ
สิ่งที่ได้รับจากการเดินเล่นในเมืองจอร์จทาวน์ เมืองมรดกโลกแห่งนี้ ทำให้ได้รู้ว่าแม้จะมีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเมืองที่ตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานอย่างปีนังนั้น ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ของความโบราณไว้อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อรอให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสถึงมนต์ขลังที่ยังไม่เสื่อมคลาย
สอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย ได้ที่ การท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย 
โทร. 0-2636-3380-3 หรือที่ Facebook : TourismMalaysiaThailand
ขอบคุณที่มาจาก : http://supavita.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น