หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กู้ชีพ WRT54GL

กู้ชีพ WRT54GL 

ลองมาดูวิธีการปลุกชีพ ของเจ้าตัว WRT54GL กัน สำหรับคนที่ทำผิดพลาดและไม่สามารถ login เข้าไปที่ WRT54GL ได้
 1. ทำการล้างความจำกันก่อน โดยหาโลหะปลายแหลมช็อตระหว่างขา 15-16 ของตัว ROM จิ้มไว้จนกว่าจะ ping ติดแล้วจึงปลดช็อต (ดูที่ขั้นตอนที่ 5)
        ถ้ารุ่น WRT54G v4  ให้ช๊อตขา 15 กับ 16
        ถ้ารุ่น WRT54GL v1.1 ช๊อตขา 16 กับ 17
reset_wrt54gl_chip
 2. ดาวน์โหลด ไฟล์เฟิร์มแวร์ openwrt-wrt54g-2.4-squashfs.bin มาเก็บไว้บนเครื่อง
http://downloads.openwrt.org/kamikaze/7.09/brcm-2.4/openwrt-wrt54g-2.4-squashfs.bin
 3. เปิด Dos command prompt แล้วพิมพ์คำสั่ง ping -t 192.168.1.1  เปิดทิ้งไว้เลย
ping1
 4. เปิดโปรแกรม tftp ของ linksys แล้วเลือก FW ที่ดาวน์โหลดไว้ตอนขั้นตอนที่ 2 มารอไว้เลย
โหลดได้ที่ http://www.redrocknet.com/downloads/Linksys%20TFTP/Tftp.exe
tftp
 5. จากนั้นให้เสียบสาย power และรอจน ping มีการตอบกลับมา ปลดช็อตที่ขา 16-17 แล้ว กด upgrade ที่โปรแกรม tftp โปรแกรมก็จะทำการโปรแกรม firmware ตัวใหม่ให้เป็นที่เรียบร้อย
ปล. เท่าที่ลองมาต้องให้เลขตัวหลังมันเป็น TTL=100 ถึงจะยิง FW เข้านะครับ ถ้าเป็น 64 ยิงไม่เข้า มันจะโผล่มาประมาณ 3-5 วินาทีหลังจากเสียบสาย power ครับ
 6. หลังจากอัพเฟิร์มแวร์ตัวใหม่เรียบร้อย การตอบกลับการ ping ก็จะหายไปประมาณ 5-10 วินาที จากนั้นผลการ ping ก็จะกลับมาเป็น 64 เหมือนเดิม
Pinging 192.168.1.1 with 32 bytes of data:
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=100
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=100
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=100
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=100
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=64
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=64
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=64
Reply from 192.168.1.1: bytes=32 time<1ms TTL=64 
ping1
  
ที่มา: http://www.thamnong.com/hs9dmc//APRS4R/Upgrad-Firmware+install-APRS4R_WRT54G.html
เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การแก้ปัญหา Error LC_ALL

Not always works, and more exact and robust solution is to modify "/etc/default/locale" file to look like next:
# File generated by update-locale
LANG=en_US.UTF-8
LANGUAGE=en_US:en
LC_ALL=en_US.UTF-8
two last strings (!) are new 
(this example for "en_US.UTF-8" but you can use any locale name 
add LANGUAGE=XXX and LC_ALL=XXX 
use "sudo nano /etc/default/locale"
เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ส่งภาพจากเว็บแคมไปแสดงที่เว็บบราวเซอร์ด้วย Raspberry Pi

ที่มา : http://www.unzeen.com/article/2227/
บน Linux สามารถที่จะทำ Streaming Media Server ที่เอาไว้สตรีมข้อมูลภาพและเสียงไปยังผู้รับได้หลายโปรแกรม อย่างที่ผมเคยใช้มาก็จะเป็น Red5 ซึ่งก็เป็นโอเพ่นซอร์สที่เราสามารถเอามาใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ด้วยกำลังของเซิร์ฟเวอร์ที่มีอาจจะไม่สามารถรับโหลดหนักๆ ได้เหมือนผู้ให้บริการที่ทำด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็น่าจะพอที่จะเอามาไว้ทำเล่นภายในกลุ่มเล็กๆได้
สำหรับ Raspberry Pi เราจะใช้โปรแกรม Motion ซึ่งจะทำการสตรีมข้อมูลจากกล้องเว็บแคมไปแสดงผลที่เว็บบราวเซอร์ เราสามารถประยุกต์เอาไปใช้ทำเป็นกล้อง CCTV เพื่อเอาไว้ดูบ้านเวลาที่เราไม่อยู่บ้านก็ได้
อย่างแรกต่อเว็บแคมกับ Raspberry Pi ให้เรียบร้อย
ทำการติดตั้งโปรแกรม Motion
1

sudo apt-get install motion
และเหมือนเดิมถ้าหากว่าติดตั้งไม่ได้ หรือเกิดมี Error ขึ้นมา ให้ลองทำการอัพเดทแพคเกจ และลองใหม่อีกครั้งนะครับ
1
2

sudo apt-get update
sudo apt-get upgrade
ทำการแก้ไขไฟล์คอนฟิกของ Motion ที่ /etc/motion/motion.conf
1

sudo nano /etc/motion/motion.conf
โดยให้ทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ในไฟล์เป็นดังนี้ครับ
1
2
3

daemon on
webcam_localhost off
control_localhost off
ต่อไปทำการแก้ไข /etc/default/motion เพื่อกำหนดให้โปรแกรม Motion ทำงานเป็น Daemon Service ได้
1

sudo nano /etc/default/motion
โดยให้ทำการแก้ไขบรรทัด start_motion_daemon=no ให้เปลียนเป็น start_motion_daemon=yes
1

start_motion_daemon=yes
จากนั้นสั่ง Start Motion Server ขึ้นมาได้เลยครับ
1

sudo service motion start
เรียบร้อยแล้วครับ ทำการเปิดเว็บบราวเซอร์เพื่อดูผลงานได้เลย
ทดลองเปิดดูวิดีโอ
http://192.168.8.102:8081
ก่อนจบวันนี้ ถ้าหากว่าเราต้องการเปลียนพอร์ตที่ใช้งาน ให้ไปใช้หมายเลขพอร์ตอื่น ก็สามารถเข้าไปแก้ไขได้ที่ไฟล์ /etc/motion/motion.conf นะครับ โดยแก้ไขที่บรรทัด
1

webcam_port 8081
*อัพเดท 2013-09-16 #1
เพิ่งเจอปัญหาว่ามันเปิดจาก Google Chrome ไม่ได้ น่าจะเป็นที่ว่าตัว motion มันใช้เทคนิค refresh ภาพ โดยเอาภาพหลายๆอันมาต่อๆกันให้ดูเหมือนเคลือนไหว เอาไว้คราวหน้าเดียวเราลองหาวิธีอื่นดูดีกว่าครับ
*อัพเดท 2013-09-16 #2
ตอนนี้สามารถแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถแสดงผลบน Google Chrome ได้แล้วครับ โดยให้สร้าง HTML ขึ้นมา และใส่แทก IMG โดยให้ SRC ของ IMG ชี้ไปที่ URL ของ Motion Server ครับ
1

sudo nano /var/www/motion.html
ในไฟล์ HTML ใช้โค้ดด้านล้างนี้ครับ
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14

<!doctype html>
<html>
<head>
<meta charset="utf-8">
<title>Motion Webcam Server</title>
</head>
 
<body>
 
<img src="http://192.168.8.102:8081/" />
 
 
</body>
</html>
เวลาเปิดดูก็ให้เปิดไปที่ URL http://192.168.8.102/motion.html สามารถใช้งานได้ทั้ง Firefox และ Google Chrome ส่วน IE ใครจะไปสน
*อัพเดท 2013-09-20 #1
หลังจากทดลองเล่นมาหลายวัน พบว่าข้อมูลที่สตรีมมิ่งมาจาก motion server สามารถเปิดจาก VLC Media Player ซึ่งโปรมแกรมเล่นมัลติมีเดียแบบโอเพนซอร์ส หากใครยังไม่มีก็สามารถดาวโหลดได้จาก http://www.videolan.org/
เปิดโปรแกรม VLC Media Player และเข้าไปที่เมนู Open Network Stream
พิมพ์ URL ที่โปรแกรม motion สตรีมข้อมูลออกมา ในทีนี้คือ http://192.168.8.102:8081 จากนั้นกด Play
ภาพจากเว็บแคมของเราก็จะมาแสดงบนโปรแกรม VLC Media Player

เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

class ของ java เรียกใช้งานผ่านทาง php ทำยังไง

ที่มา : http://www.unzeen.com/article/124/
พอดีมีเพื่อนถามว่า PHP สามารถเรียก class ที่สร้างจาก Java ได้หรือเปล่า ผมก็เลยลองไปหาดู ใน internet ก็เห็นมีวิธี ที่จะใช้เรียก method ของ java จาก php ได้เหมือนกัน วันนี้ ก็เลยจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเรียกใช้ method ของ java จาก PHP ว่าต้องทำยังไงบ้าง
เรื่องของการติดตั้ง J2SE หากใครยังไม่เคยทำการติดตั้งก็สามารถกลับไปดูบทความก่อนหน้านี้ของผมได้นะครับ ที่เกี่ยวกับเรื่องการติดตั้ง Java เพื่อเอาไว้หัดเขียนโปรแกรมบนมือถือ
ในบทความต่อไปนี้ผมจะ ทำการทดลองบน windows นะครับ หากว่ามีเวลาว่างๆ ผมจะเขียนเกี่ยวกับการติดตั้งบน Linux ให้ได้อ่านกัน วันนี้เอาบน windows กันก่อน
เริ่มกันเลยนะครับ
ขั้นแรกให้ทำการเขียนโปรแกรมด้วย java ขึ้นมาก่อน โดยการ copy code ต่อไปนี้เลย
function_java.java
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10

public class function_java
{
    public static void main(String[] args){
        System.out.println(test_str());
    }
 
    public static String test_str(){
        return "Hello World I'am Java";
    }
}
จากนั้นทำการ compile โดยให้เข้าไปที่ command line แล้วใช้คำสั่ง javac function_java.java
จากนั้นหากว่าไม่มี อะไรผิดพลาดเราก็จะได้ function_java.class เพิ่มขึ้นมาอีกอัน ทีนี้ลองทำการ run ดู โดยใช้คำสั่ง java function_java หากว่าได้ ค่า Hello World I’am Java กลับมาก็แสดงว่าโปรแกรม java ของเราทำงานได้แล้ว
ต่อไปให้คุณทำการ copy function_java.class ไปไว้ที่ D:\www\myweb\ez\example\java\ เพราะว่าผมจะใช้ path นี้ในการเก็บ file .class คุณไปทำไว้ที่อื่นก็ได้ นะครับ
ต่อไปเราก็ทำการ config PHP กันต่อเลย ให้คุณทำการเปิด file php.ini
ให้ทำการค้นหาคำว่า extension=php_java.dll แล้วทำการเอา comment (เจ้าตัว ; ที่อยู่หน้าบรรทัด) ออก
จากนั้นให้หา java.class.path แล้วเอา comment ออกและแก้ข้อมูลตามนี้ครับ
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12

java.class.path = "C:\php\extensions\php_java.jar;D:\www\myweb\ez\example\java\"
;C:\php\extensions\php_java.jar คือ path ของ php_java.jar ซึ่งปกติก็จะอยู่ใน folder extensions ที่เราได้ติดตั้ง PHP ครับ
;D:\www\myweb\ez\example\java\ ตัวนี้คือ path ที่เราจะเก็บ file .class ที่เรา compile ได้จาก โปรแกรม java ของเราครับ
 
java.home = "C:\Program Files\Java\jdk1.5.0_02\"
;C:\Program Files\Java\jdk1.5.0_02\ อันนี้เป็น path ของ J2SE ที่เราลงไว้ในเครื่องนะครับ ของคุณอยู่ที่ไหนก็กำหนดตามนั้นครับ
 
java.library = "C:\Program Files\Java\jdk1.5.0_02\jre\bin\server\jvm.dll"
;C:\Program Files\Java\jdk1.5.0_02\jre\bin\server\jvm.dll อันนี้ก็เป็น path ของ JVM ปกติแล้วก็จะอยู่ที่ \jre\bin\server\ ของ folder ที่เราได้ลง J2SE ไว้
 
java.library.path = "C:\php\extensions\"
;C:\php\extensions\ ตัวนี้เป็น path ที่เก็บ extensions ของ PHP ครับ
เพิ่มเติมอีกนิดครับ
PHP ที่ผมลงเป็นแบบที่ zip มาไม่ใช้แบบที่เอามา install ฉะนั้นมันจะมี folder extensions เพิ่มขึ้นมาใน folder ที่เราติดตั้ง PHP ด้วย ซึ่ง การใช้ extension= จะเป็นการไปเรียกใช้ file ที่มีนาสกุล .dll ที่อยู่ใน folder extensions เราจึงควรที่จะกำหนด extension_dir ใน php.ini ให้เป็น extension_dir = “./extensions” หรือหากว่าไม่กำหนดที่ extension_dir คุณก็อาจจะทำการ copy file .dll ที่อยู่ ใน folder extension ไปไว้ที่ C:\WINDOW\Ssystem32\ ก็ได้
เมื่อแก้ไข php.ini เสร็จแล้ว ต่อไปเราก็มาเขียนโปรแกรม PHP ให้เข้าไปเรียกใช้ method ที่อยู่เราเขียนเป็น java กันเลย สร้าง file java2php.php โดยมีข้อมูลตามนี้ครับ
java2php.php
1
2
3
4
5
6

<?php
 
$java = new Java("function_java");
print $java->test_str();
 
?>
จากนั้นลองทำการเรียก java2php.php ผ่านทาง Browser ดู หากว่ามี ข้อความขึ้นมาว่า Hello World I’am Java ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณสามารถที่จะใช้ PHP เรียก method ของ java ได้แล้ว
เขียนมาตั้งนาน บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะเอาไปทำอะไรได้นี้ ในเมื่อเราก็สามารถเขียน php ให้ทำได้อยู่แล้ว มันก็จริงครับที่เราสามารถเขียน php ให้สามารถทำนู้นทำนี้ ได้ แต่ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าหากเราเขียน function อะไรบางอย่างไว้ แล้วไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าภายใน function นี้ทำงานยังไงถึงได้ผลออกมาแบบนี้ เราก็สามารถที่จะเขี่ยน function นั้นโดย java จากนั้นเราค่อยเขียน php ไปเรียกใช้ function นั้นก็ได้
แต่เดี่ยวก็มีบางคนก็จะบอกได้อีกว่า งั้นผมเอา .class ของคุณไป decompile ก็ได้ อันนี้ผมก็ช่วยไม่ได้ละครับ
ออ แต่มี อีกวิธีหนึ่งคือการทำเป็น .dll แล้วให้เรียกใช้ function ผ่าน php รับรองว่าวิธีนี้ decompile ยากกว่า java แน่ๆ เดี่ยวไว้คราวหน้าเราจะมาลองเขียนโปรแกรม จากภาษาอื่นแล้ว compile เป็น .dll แล้วใช้ php เรียก function มาใช้งานบางดีกว่า

เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

ยกเลิกการแสดง error ใน php ง่ายๆได้หลายวิธี

ที่มา : http://www.unzeen.com/article/127/
โดยปกติแล้ว เวลาที่เราเขียนโปรแรกมโดยใช้ php เมื่อมันทำงานผิดพลาดมันจะแจ้งให้เราทราบว่ามี Error ตรงบรรทัดไหนอย่างไร ซึ่งมีประโยชน์มากเวลาเขียนโปรแกรม แต่ถ้าหากว่าข้อมูลของ Error ตัวนั้นไปแสดงที่หน้า website ที่เราเอาขึ้นไปใช้จริงๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากว่า hacker ได้ข้อมูลพวกนี้ไป วันนี้เรามาทำการป้องกันไม่ให้ php แสดง Error ออกมาเวลาที่ทำงานผิดพลาดกันดีกว่า

วันนี้มาทำการป้องกันไม่ให้ php แสดง Error ออกมาเวลาที่ทำงานผิดพลาดกันดีกว่า โดยปกติแล้ว เวลาที่เราเขียนโปรแกรมโดยใช้ php เมื่อมันทำงานผิดพลาดมันจะแจ้งให้เราทราบว่า ผิดที่บรรทัดไหน เพราะอะไร ซึ่งจะเป็นการช่วยเราได้มากเวลาที่เขียนโปรแกรม
แต่ถ่าหากว่า เวลาที่เราเอาขึ้นไปใช้จริงๆ บน website แล้วและเกิดว่ามี Error ขึ้นมาก็อาจจะทำให้ มีผู้ที่ไม่หวังดี หรือพวก hacker นั้นแหละ รู้ระบบการทำงานของโปรแกรมของเราได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการสังไม่ให้ php แสดง Error ออกมา
บาง คนอาจจะบอกว่า ผมเขียนโปรแกรมดีแล้วไม่มี Error เหรอกเพราะทดสอบมาทุกขั้นตอนแล้ว มันก็คงจะจริงครับว่าคุณเขียนมาดีแล้ว แต่ถ้าหากว่าวันหนึง Database ที่คุณใช้ เกิดหยุดทำงานขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม รับรองได้ว่าคำสั่ง php ที่คุณใช้ในการ connect database จะต้อง Error ออกมาอย่างแน่นอน
ในการสังให้ php ไม่แสดง Error เวลาที่โปรแกรมทำงานผิดพลาดสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
1.ไม่ให้แสดง Error เฉพาะตรงคำสั่งที่ต้องการ โดยการใช้ @
2.ไม่ให้แสดง Error ทั้งหมดไม่ว่าจะด้วย กรณีใดๆทั้งสิ้น โดยการใช้ @ini_set(‘display_errors’, ‘0’);
ไม่ให้แสดง Error เฉพาะตรงคำสั่งที่ต้องการ โดยการใช้ @
ในการสั่งให้ php ไม่ต้องแสดง Error ออกมาเวลาที่โปรแกรมทำงานผิดพลาดแบบเฉพาะจุด เราสามารถใส่ เครื่องหมาย @ ข้างหน้าคำสั่ง ที่เราต้องการได้ มาดูตัวอย่าง
error1.php
1
2
3
4
5
6
7
8

<?php
$filename = "test.txt";
$handle = fopen($filename, "r");
$contents = fread($handle, filesize($filename));
fclose($handle);
 
print $contents;
?>
จากตัวอย่างเป็นการอ่าน file test.txt ซึ่งหากว่าไม่พบ file นี้ก็จะแสดง error ออกมาแบบนี้
1
2
3
4
5
6
7

Warning: fopen(test.txt): failed to open stream: No such file or directory in D:exampleerror1.php on line 3
 
Warning: filesize(): Stat failed for test.txt (errno=2 - No such file or directory) in D:exampleerror1.php on line 4
 
Warning: fread(): supplied argument is not a valid stream resource in D:exampleerror1.php on line 4
 
Warning: fclose(): supplied argument is not a valid stream resource in D:exampleerror1.php on line 5
จาก Error ที่เราเห็นก็จะทราบได้ว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากทั้งหมด 5 function คือ fopen,filesize,fread,fclose ที่นี้เราก็จะมาใส่ @ ไว้ที่หน้า function เหล่านี้ดูบ้าง
error2.php
1
2
3
4
5
6
7
8
9

<?php
$filename = "test.txt";
$handle = @fopen($filename, "r");
$contents = @fread($handle, @filesize($filename));
@fclose($handle);
 
print $contents;
 
?>
จากตัวอย่างเวลาที่เรา run โปรแกรม จะพบว่าไม่มี Error อะไร ขึ้นมาให้เราเห็นเลย
ไม่ให้แสดง Error ทั้งหมดไม่ว่าจะด้วย กรณีใดๆทั้งสิ้น โดยการใช้ @ini_set(‘display_errors’, ‘0’);
ในแบบที่ 2 เป็นวิธีการที่จะกำหนดไม่ให้แสดง Error ของทั้งหน้าไม่ว่าจะเป็นที่คำสั่งไหนก็ตาม วิธีนี้สะดวกตรงที่เราไม่ต้องไป นั้งใส่ @ ในทุกๆ function ที่เราต้องการ เพราะว่าเราแค่นำคำสั่ง @ini_set(‘display_errors’, ‘0’); ไปไว้ที่บรรทัดแรกสุดของหน้า ที่เราไม่ต้องการให้แสดง Error ก็สามารถที่จะใช้ได้แล้ว ไปดูตัวอย่างกัน
error3.php
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10

<?php
@ini_set('display_errors', '0');
$filename = "test.txt";
$handle = fopen($filename, "r");
$contents = fread($handle, filesize($filename));
fclose($handle);
 
print $contents;
 
?>
จากตัวอย่างถ้าหากว่าเราเปลี่ยนจาก @ini_set(‘display_errors’, ‘0’); ให้เป็น @ini_set(‘display_errors’, ‘1’); ก็จะเป็นการสั่งให้ แสดง Error ออกมาตามปกติ
คำแนะนำ : ใน ขณะที่เรากำลังทำการเขียนโปรแกรมอยู่ ก็ควรที่จะกำหนดให้มีการแสดง Error ออกมาตามปกติ เพราะจะได้ทำการแก้ไขได้ง่าย แต่เมื่อไรก็ตามที่ได้นำโปรแกรม นั้นขึ้นไปบน website ที่ใช้งานจริงๆ ก็ควรที่จะกำหนด @ini_set(‘display_errors’, ‘0’); ไว้ด้วยเนื่องจากอาจจะมีความผิดพลาดที่ เราเองไม่ทราบล่วงหน้าก็ได้ อย่างเช่นมีการรับค่าตัวแปรเข้ามาผิด หรือว่าตัว Database MySQL หยุดทำงานเป็นต้น

เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEBCAM STEAMING ด้วย RASPBERRY PI

WEBCAM STEAMING ด้วย RASPBERRY Pi


ที่มา : http://www.informalsoft.com/webcam-steaming-raspberry-pi/

บทความนี้มี VDO TUTORIAL 

.     สวัสดีครับทุกท่านห่างหายไปหลายวันครับก็งานยุ่งๆ เมื่อวันก่อนผมมีโอกาสได้รับข้อความทางเพจจากสมาชิกท่านหนึ่งครับเขาทำเกี่ยวกับกล้องบน Raspberry pi ครับแต่ติดปัญหากล้องไม่ขึ้นภาพ วันนี้ผมเลยถือโอกาสมาแนะนำขึ้นตอนในการทำ Steaming ด้วยกล้อง WebCam ครับ ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลยครับ
**ก่อนที่จำการ Boot Raspberry pi ให้ท่านเสียบกล้อง WebCam ที่เป็น USB เข้าไปเลยครับ
1. อันดับแรกเมื่อท่านทำการ Boot Raspberry pi ของท่านเข้ามาแล้วนะครับให้ทำการหา IP และทำการ Remote เข้าไปและ update & upgrade ให้เรียบร้อย อย่าลืมนะครับว่าขั้นตอนนี้เราจะทำอะไรก็ช่างมันมีความสำคัญมากครับ
2. เมื่อเราทำการ update & upgrade เสร็จแล้วเราก็จะเริ่มทำการติดตั้ง ซอฟแวร์ที่ชื่อว่า motion ครับซึ่งเจ้าโมชั่นนี้แหละครับจะเป็นตัวพาเรา Steaming กล้องได้ ให้พิมพ์ คำสั่ง sudo apt-get install motion ครับ
1
install motion
.      จากนั้นรอซักพักครับจะมีการถามขึ้นมาให้เรากด Y แล้วกด Enter 1 ครั้งเป็นการตอบตกลงรอจนกว่ามันจะเสร็จ และเมื่อเสร็จแล้วก็ทำการ Config ในขั้นตอนถัดไปได้เลยครับ
3. เมื่อทำการติดตั้งเสร็จแล้วต่อไปเราจะมาทำการ Config ตัว Motion ให้มันสามารถทำงานได้ และ ทำงานได้อย่างราบรื่นครับ มาดูกันเลยว่าเราจะทำอย่างไร ให้ท่านพิมพ์ คำสั่ง sudo nano /etc/motion/motion.conf  ในขั้นตอนนี้เราจะทำการเข้าไปแก้ไขไฟล์นะครับ
2
Config Motion
3.1 จุดแรกที่เราจะทำการแก้ไขนะครับก็คือ Deamon จะอยู่ส่วนบนของโค้ดนะครับ เดิมค่าของ Deamon จะเป็น off นะครับ ให้เราทำการแก้จากเดิม ให้เป็น on ครับ ดังตัวอย่างตามภาพเลยครับ  ให้ท่านเปลี่ยนจาก off เป็น on ตามวงกลมสีแดงในภาพได้เลยครับ
3
Deamon off/on
3.2 จุดต่อไปที่เราจะทำการเปลี่ยน คือ webcam_localhost ครับเดิมค่าของค่าของมันจะเป็น on ครับให้เราเปลี่ยนไปเป็น off ได้ตามวงกลมสีแดงในภาพเลยครับคือจาก on >>> off ครับ อ่อ webcam_localhost จะอยู่ในส่วนของ Live Webcam Server นะครับอยู่ส่วนล่างๆ ของโค้ดครับ
4
webcam_localhost on/off
3.3 หลังจากที่เราทำการเซ็ตค่าเรียบร้อยทั้งสองจุดแล้วนะครับให้เราทำการ save ด้วยการกด Ctrl + x แล้วกด y แล้วตามด้วย Enter อย่างเช่นเคยครับต่อไปเราจะไปทำการ config อีก1 ไฟล์ในขั้นตอนที่ 4 ตามไปเลยครับ
4. ทำการ config อีก 1 ไฟล์ครับให้ท่านพิมพ์คำสั่ง sudo nano /ect/default/motion   แล้วกด Enter ครับ
5
config motion
4.1 เมื่อเข้ามาแล้วครับเราจะได้พบกับ file ที่มีอยู่ 2 บรรทัดครับ ให้ท่านสนใจไปที่ บรรทัดที่ 2 ครับตรง start_motion_deamon ครับ ค่าเดิมมันจะเป็น no ครับให้เราทำการเปลี่ยนจากค่าเดิมไปเป็น yes ครับ จากนนั้นก็ทำการ save ด้วยการกด Ctrl + x เช่นเดิมครับ
6
config motion
จบขั้นตอนการ config ขั้นพื้นฐานแล้วครับ ย้ำนะครับว่าพื้นฐานมีเพียงเท่านี้ครับในขั้นตอนต่อไปเราจะทำการ start streaming กันครับ ตามไปดูเลย
5. ในขั้นตอนนี้เราจะทำการ start streaming ครับให้ท่านพิมพ์คำสั่ง sudo service motion start  แล้วกด Enter ครับการ start จะต้อง OK นะครับ ห้าม Fails นะครับเพราะมันจะทำงา่นไม่ได้ ท่านต้องได้ดังภาพนี้นะครับ
7
motion start OK
6. เมื่อทำการ start OK แล้วนะครับ การ steaming ก็ได้เกิดขึ้นแล้วครับโดยการทดทอบให้เราค้นหา IP ของ raspberry pi ของเรา(ในกรณีที่จำไม่ได้) ให้ท่านให้คำสั่ง ifconfig เพื่อทำการ ดู IP ครับ จะอยู่ในวงกลมในภาพครับ
8
ifconfig
7. เมื่อได้ IP มาแล้สเราก็ยังไม่สามารถดูได้ครับ อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทราบนั้นก็คือ port นั่นเองครับ ให้ใช้คำสั่ง sudo nano /etc/motion/motion.conf  (เหมือนในขั้นตอนที่ 3 ) แล้วเลื่อนลงไปหา Liver Webcam Sever   port จะอยูาในวงกลมดังภาพครับ ที่เป็นตัวเลขนะครับ
9
check port
8. เมื่อเราทราบ IP และ port แล้วถึงขั้นตอนการ ทดสอบจริงๆแล้วให้ท่านเปิด Web browser ขึ้นมาครับ แล้วพิม ip:port เช่นของผมเป็น 192.168.2.5:8081 ผมก็จะได้ดังภาพนี้เลยครับ คุณภาพของภาพอยู่ที่กล้อง ด้วยครับ และในขั้นตอนนี้ ท่านจะสังเกตว่าทำไมภาพมันกระตุกอันนี้ผมจะพาท่านแกในวิธีการของผมเองครับ
10
Steaming OK
9. ในขั้นตอนนี้จะเป็นการแก้อาการกล้องกระตุกนะครับ ใส้คำสั่ง  sudo nano /etc/motion/motion.conf เพื่อเข้าไปทำการแก้ file เดิมนนะครับตรงนี้เราจะมีการแก้อยู่ 2 จุดด้วยกันนครับ จุดแรกเราจะแก้ frame rate ให้่เป็น 100 ครับให้ท่านทำการแก้ดังภาพเลยครับ
11
framerate
เมื่อทำการแก้ในจุดที่ แรกเสร็จแล้วนะครับต่อไปเราจะทำการแก้ในจุดที่สองกัน ให้ท่านเลื่อนลงไปข้างล่างนะครับ ในหัวข้อ Live Webcan Server ครับที่ webcam_maxrate ครับค่าเดิมมันจะเป็น 1 ให้ท่านเปลี่ยนเป็น 100 ดังภาพเลยครับ
12
maxrate
.      เใื่อท่านพิมพ์เสร็จแล้วให้ท่านทำการ save ครับ ด้วยการกด Ctrl + x เช่นเดิมครับ แล้วให้ท่านทำการ restart motion ด้วยคำสั่ง
sudo service motion restart ครับแล้วทำการทดสอบด้วยกด refesh หน้าบราวเซอร์ใหม่เท่านี้ท่านก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วละครับ  เสร็จเรียบร้อยโรงเรียนจีนครับ สำหรับการ steaming ด้วย Webcam ด้วย respberry pi
และเพื่อเป็นการเข้าใจมากยิ่งขึ้น ผมแนะนำให้ท่านดู VDO ครับ
สำหรับท่านไหนที่มีข้อสงสัยก็สามารถคอมเม้นเอาไว้ได้เลยะครับ หรือสนใจพูดคุยแลกเปลี่ยนแนะนำ กับผมได้ที่Facebook  ครับ สำหรับในบทความนี้สวัสดีครับ

เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

Motion - Web Home with Raspberry Pi

Motion - Web Home with Raspberry Pi

หากท่านต้องการที่จะทำให้ Raspberry Pi เป็น DVR ที่ดูผ่าน Web Site ได้ท่านสามารถ Download File Php จาก http://www.lavrsen.dk โดย Download ข้อมูลได้ ที่นี้ เพื่อ Download File php ใช้ร่วมกับโปรแกรม Motion
เขียนโดย ที่ ไม่มีความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ:

การติดตั้ง WiringPi เพื่อใช้งาน GPIO และเรียกใช้ผ่าน PHP บน Raspberry Pi

การติดตั้ง WiringPi เพื่อใช้งาน GPIO และเรียกใช้ผ่าน PHP บน Raspberry Pi

ที่มา : http://www.unzeen.com/article/2179/
WiringPi เป็นไลบรารีที่ใช้ติดต่อกับพอร์ต GPIO (General Purpose Input/Output) ของ Raspberry Pi ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาซี พอร์ต GPIO เป็นพอร์ตอินพุตเอาต์พุตอเนกประสงค์ เราสามารถรับและส่งข้อมูลต่างๆได้ผ่านทางพอร์ตนี้ โดยในตัวอย่างวันนี้เราจะส่งค่าออกไปแสดงผลที่ LED และทดสอบรับค่ากลับจากการกดสวิตช์ จริงๆแล้วตัว WiringPi เป็นไลบรารีที่เราต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซีเพื่อเรียกใช้งาน แต่มันก็มีคำสั่งที่เป็นคอมมานไลน์ชื่อ gpio มาให้เราใช้งานด้วย คำสั่ง gpio นี้มีข้อดีตรงที่ว่ายูเซอร์ทุกคนในระบบสามารถเรียกใช้งานได้ ไม่จำกัดแค่ว่าต้องมีสิทธิเป็น root เหมือนกับการเรียกใช้ผ่าน shell ซึ่งข้อดีของคำสั่ง gpio ตรงนี้ทำให้เราสามารถเขียนคำสั่งด้วย PHP และเรียกใช้งานผ่านเว็บได้
อย่างแรกเริ่มจากการติดตั้ง GIT ลงไปก่อน
1

sudo apt-get install git-core
ถ้าหากว่าเกิดมี Error ขึ้นมาให้ลองทำการอัพเดทแพคเกจ และลองใหม่อีกครั้ง
1
2

sudo apt-get update
sudo apt-get upgrade
จากนั้นสั่งโคลน
1

git clone git://git.drogon.net/wiringPi
ต่อไปสั่งติดตั้งแพคเกจ
1
2
3

cd wiringPi
git pull origin
./build
เมื่อติดตั้งเรียบร้อย ลองทดสอบเรียกคำสั่ง gpio ขึ้นมาดูก่อนว่าใช้งานได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ตัวใครตัวมันครับ
1

gpio -v
ก่อนต่อวงจรเรามาดูตำแหน่งขาของ GPIO กันก่อนครับว่าอยู่ตรงไหนบ้าง จะเห็นว่ามีพอร์ต GPIO ให้เราใช้งานอยู่ทั้งหมด 17 ขา แต่วันนี้เราจะทดลองใช้ GPIO 7 สำหรับการทดสอบเรื่องอินพุต และใช้ GPIO 8 สำหรับการทดสอบเอาต์พุต
เริ่มต่อวงจรกันเลยครับ ในตัวอย่างเราจะใช้ LED เป็นเอาต์พุต และใช้สวิตกดติดปล่อยดับเป็นอินพุต
ต่อแล้วได้ออกมาหน้าตาประมาณนี้ครับ
เมื่อต่อวงจรเรียบร้อยแล้วมาเริ่มทดสอบกันเลย เริ่มจากทดสอบเอาต์พุตก่อน โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้ (สังเกตที่ LED จะติดและดับตามการส่งสัญญานที่เราส่งไป)
gpio -g mode 8 out //กำหนดให้ GPIO 8 เป็นขาเอาต์พุต
gpio -g write 8 1 //ส่งค่า Height ไปที่ขา GPIO 8
gpio -g write 8 0 //ส่งค่า Low ไปที่ขา GPIO 8
1
2
3

gpio -g mode 8 out
gpio -g write 8 1
gpio -g write 8 0
ทำการทดสอบอินพุตกันต่อ (ทดลองกดสวิตและอ่านค่าจาก GPIO 7)
gpio -g mode 7 in //กำหนดให้ GPIO 7 เป็นขาอินพุต
gpio -g read 7 //อ่านค่าจาก GPIO 7 โดยจะมีค่าเป็น 0 กับ 1
1
2

gpio -g mode 7 in
gpio -g read 7
ก่อนออกไปเที่ยว เดี๋ยวเราจะลองเรียกใช้งาน gpio โดยใช้ PHP กันดูบ้าง ซึ่งหลักการก็ง่ายๆ คือเราจะใช้ฟังชั่น exec() ของ PHP เรียกไปที่ /usr/local/bin/gpio ตรงๆเลยง่ายดี
สร้างไฟล์ gpio.php ที่ /var/www/gpio.php
1

sudo nano /var/www/gpio.php
พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ลงไป
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14

<?php
 
exec("/usr/local/bin/gpio -g mode 8 out");
exec("/usr/local/bin/gpio -g mode 7 in");
 
if($_GET['gpio8'] == 1){
 exec("/usr/local/bin/gpio -g write 8 1");
}else{
 exec("/usr/local/bin/gpio -g write 8 0");
}
 
echo "GPIO  7 = ".exec("/usr/local/bin/gpio -g read 7");
 
?>
เพียงเท่านี้เราก็สามารถควบคุม GPIO ของ Raspberry Pi ผ่านเว็บได้แล้ว ลองเปิดเว็บดูได้เลยครับ
http://192.168.8.102/gpio.php
http://192.168.8.102/gpio.php?gpio8=1
http://192.168.8.102/gpio.php?gpio8=0

เขียนโดย ที่ 1 ความคิดเห็น:
ป้ายกำกับ: ,
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)